พิธีพระราชทานประริญญาบัตร 2554

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ปาย....หลากรส หลายอารมณ์


   ปาย ....ที่ใครๆก็อยากไป
   ปาย .... ที่บางคนบอกว่าเป็นสถานที่ สำหรับคู่รัก 
   ปาย ....ที่บางคนบอกว่าเป็นสถานที่ ไม่เหมาะสำหรับคนอกหัก 
  ปาย ....ที่บางคนบอกว่าเป็นสถานที่ ไม่เหมาะสำหรับคนเหงา (แต่ถ้าชวนคนเหงาอีกคนไปเหงาเป็นเพื่อน ก็โอเคนะ ) 
  ปาย ....ไม่เหมาะกันการไปเป็นหมู่ใหญ่
  ปาย ....สถานที่สำหรับศิลปิน
      ........หลายนิยามของความเป็นปาย  หลายครั้งต่างฤดูที่ได้มีโอกาส มองเห็นปาย .... วัฎจักรของปาย เปลี่ยนแปรไปตามกาล และอารมณ์ของผู้มาเยือนหลายหน้าหลากผิวพรรณ   ภาพของปายที่นำมาถ่ายทอด จึงขอเล่าไปตามอารมณ์และความรู้สึกที่ได้พบ ดูเล่นกันเพลินๆ แล้วลองสรุปนิยามของปายในทัศนะของคุณเอง
     อารมณ์นี้เลยที่อยากสัมผัส ใคร่ลิ้มลองมานาน  แล้วก็สมใจตามแรงอธิษฐาน ...ขนาดนั้นเชียว(มากไปนิดนึง) ได้บินเหนือเมฆปุยขาว ล่องลอยในฟ้าสีคราม มองมายังทุ่งนา ทะเลภูเขาที่ เขียว เขียว เขียว ขาดแต่สีคราม ของพื้นแผ่นน้ำ เพราะตลอดเส้นทาง ที่บินเหมือนนกเสรีเหนือฟ้า ปาย - เชียงใหม่ ล้วนเป็นการบินเหนือทิวเขาป่าไม้
 (แต่เจ้าของเครื่องบิน SGA บอกว่าเค้าเป็นผึ้งแรงฤทธิ์ ก็น่าจะใช่เหมือนกันเพราะจัดการบินได้สมบูรณ์แบบมาก...ไม่ได้เชียร์แต่ ช๊อบ...ชอบ จึงบอกต่อ) มองจากช่องหน้าต่างกระจกใส ลงมาเห็นถนนที่คดเคี้ยวเป็นขดเชือก วกวนแล้วก็ให้ทึ่ง ว่านี่หรือคือเส้นทางที่เมื่อหลายวันก่อนเราไต่ลัดเลาะมาจากเชียงใหม่


       สะพานไม้ไผ่ เป็นหมู่ที่ทอดข้ามลำน้ำปาย สะพานในดวงใจติดอันดับ Top five ของ บินหลา สันกาลาคีรี นักเขียนที่ชื่นชอบ เพราะสะท้อนความคิดได้แบบ โดนซะจริงๆ ในหลายแง่มุมของชีวิต

และมุมมองที่สะท้อนออกมาโดนใจ (อีกแล้ว)ว่า สะพานไม้ไผ่ดิบๆ ได้อารมณ์เหล่านี้ยังคงอยู่คู่ ปาย เป็นเพราะ นักท่องเที่ยวชอบมันสะท้อนอย่างบีบคั้นแกมกังวล   ที่เราเองก็  ปฎิเสธไม่ได้
                ปาย ..... ถ้าไม่มี สะพานไม้ไผ่ อารมณ์ปายก็จะหายไปอีกอักโข
                ปาย ..... ถ้าไม่มี สะพานไม้ไผ่ ก็จะขาดอะไรบางอย่างให้จดจำไว้ในใจ
      สายน้ำปาย สายเล็กที่ไหลลัดเลาะมาจากทิวเขา พอผ่านเข้ามาสู่ชุมชนปาย ก็จะเจอกับหมู่สะพานที่ถักสานจากไม้ไผ่ ทอดข้ามเป็นระยะๆ เชื่อมสองแนวฝั่งเพื่อใช้สัญจร แต่นั่นอาจจะเป็นประโยชน์ที่มองเห็นเป็นรูปธรรม แต่ในอีกมุมบางคนมองว่ามันเป็น วิญญาณของ ...ปาย

      ลองไปนั่งห้อยขาอยู่บนสะพานไม้ไผ่ เพ่งมองกรวดก้อนน้อยในสายน้ำ หรือยืนที่ปลายสะพาน  แล้วทอดสายตาออกไปตามแนวของลำน้ำที่คดโค้ง ไปจนสุดแนวมิติของทิวเขาที่ปรากฏเป็นฉากหลัง ณ ยามเช้าและยามเย็น บางคราแสงอาทิตย์สาดละลงบนผืนน้ำ ล้อกันให้เกิดเป็นแสงระยิบ หรือในบางคราที่มีหมอกระเรี่ย เป็นม่านบาง แล้วบอกตัวเองว่ามองเห็นอะไร
                                             คำตอบนี้คงต้องไปหากันเองที่....ปาย
สะพานไม้ไผ่ดูไม่คงทานถาวร แต่เหตุแห่งกันพังสลายไม่ใช่เพราะกาลเวลา แต่เป็นเพราะธรรมชาติ ของกระแสน้ำปาย ที่ดูงามใสไหลเอื่อยยามหน้าแล้ง แต่จะพลิกเป็นเกรี้ยวกราดถั่งโถม ยามหน้าน้ำ ส่งผลให้ในบางปีสะพานเหล่านี้จะถูกกวาดหายไปกับกระแสน้ำ และเมื่อสายน้ำสงบนิ่ง ซึ่งก็จะตรงกับฤดูท่องเที่ยวของปาย ชาวปายก็จะสร้างสะพานเหล่านี้ขึ้นมาใหม่ เป็นวัฎจักรแบบนี้มาช้านาน แต่เหตุแห่งการล่มสลายที่น่ากลัวและกำลังคืบคลานเข้ามา เห็นจะไม่ใช่เพราะธรรมชาติแต่เป็นกระแสแห่ง ความเจริญและวัตถุนิยม รวมทั้งความนิยม ความง่ายช่วยกันภาวนาขอให้มีสะพานไม้ไผ่อยู่คู่กับปายต่อไปเถิด ....เราไม่อยากได้ ....สะพานคอนกรีต!
          ช่วยกันภาวนาขอให้มีสะพานไม้ไผ่อยู่คู่กับปายต่อไปเถิด
....เราไม่อยากได้ ....สะพานคอนกรีต!....

ไม่ใช่คอกาแฟ....แต่ชอบนั่งในร้านกาแฟ เพราะร้านกาแฟมีอะไรกุ๊กกิ๊ก
ไม่ว่าจะเป็นร้านกาแฟอาแป๊ะในตลาดเก่า ในตรอกแคบ  เป็นเพิงกาแฟร้านเล็กริมทาง  หรือร้านกาแฟหรูติดแอร์
       สั่งกาแฟสักแก้ว นั่งละเลียด จิบกาแฟเพลินๆ นิ่งแล้วมองไปรอบตัว ดูคน ดูบรรยากาศ ดูวิว รับรองต้องมีอะไรกุ๊กกิ๊กให้เบิกบาน แล้วถ้าเป็นกาแฟอร่อย กลิ่นกลุ่นหอมฟุ้งแล้วละก็จะยิ่งได้อารมณ์ลึกซึ้งจริงๆ
     ร้านกาแฟที่....ปาย มากมายน่านั่ง น่าลองลิ้มบรรยากาศ ทั้งดูร่าเริง  ทั้งดูขรึมๆ ทั้งน่ารักจุ๋มจิ๋ม บางร้านก็ติ๊ดซ้า...ปิดป้ายห้ามถ่ายรูปตัวโต (สันนิษฐานว่าเอาไว้ไล่แขก) บางร้านก็เปิดเผยเริงร่า ไม่หวงแถมเชิญชวน น่ารักจนต้องเก็บเอาไว้ในอ้อมใจ ต้องพูดถึงบอกต่อ ไม่คิดค่าโฆษณา


   Coffee in Love .... ไม่รู้คุณกาแฟหลงรักใคร แต่ถ้าเดาไม่ผิด คิดว่าคงหลงรักขุนเขาและนาเขียวสวยใสน่าชื่นใจ    ที่อยู่คู่กันเป็นแน่แท้  จึงได้ลงหลักปักฐานในทำเลที่มองเห็นที่รักได้ทุกวี่วัน  และโมงยามอย่างนี้

     น่าอิจฉาเจ้ากาแฟจริงๆ  เพราะเราเองก็หลงรักวิวสวยนี้เข้าเต็มเปาเหมือนกัน แต่สุดท้ายก็ต้องยอมจำนนคุณกาแฟ  เพราะเค้าเกิดมาคู่กันกับขุนเขาและนาเขียว ที่ประกอบกันเป็นภาพสวยแบบพาโนรามานี้จริงๆ .... เค้าทั้งสองจับคู่กันได้ลงตัว

     ถ้าไม่มีร้านกาแฟ ขุนเขาและนาเขียวจะงามจับใจอย่างที่เห็นหรือไม่  ถ้าไม่มีวิวสวย  ร้านกาแฟจะน่ารักตรึงใจได้อย่างนี้หรือเปล่า
    เมื่อเห็นสวยงามแล้วไยต้องครอบครอง แค่ชื่นชมน่าจะเป็นสุขใจ

    ดังนั้นจึงตกลงว่าให้เค้าอยู่คู่กันอย่างนี้เรื่อยไปจนนิรันดร์ดีกว่า แขกผู้มาทีหลังขอเป็นมิตรผู้มาเยี่ยมเยือนคู่รักนี้เป็นครั้งคราว ด้วยใจที่เปี่ยมสุข 

       ......แวะไปเยี่ยมคู่รักคู่นี้ได้ที่ริมถนน เชียงใหม่ - ปาย หลัก ก.ม.ที่ 95 ก่อนถึงตัวเมือง ปาย 2 ก.ม. อย่าเพียงแต่ไปจอดรถถ่ายรูป ชะโงกแวปๆแค่รั้วบ้าน แม้คุณกาแฟและหวานใจจะไม่หวงไม่ห้าม แต่ให้แวะเข้าไปเยี่ยมถึงเรือนชาน สั่งกาแฟสักแก้ว  คุยกับเขาและเธอ แล้วจะรู้ว่าที่นี่สวยงามด้วยความรัก บางที่คุณอาจจะเกิดอาการ...in love...เข้าให้บ้างก็ได้ แต่จะตกหลุมรักกับอะไรหรือกับใคร ..อะแฮ้ม..ก็เลือกเอาเองก็แล้วกัน

สะพานคลาสิก ที่ยืนเด่นเป็นเหมือนสัญญาณ บอกถึงการไปเยือนปายว่าอีกประเดี๋ยวจะถึงจุดหมายปลายทางแล้วเพียงแค่ 10 กม.ข้างหน้านี้ ไม่นาน....ไม่นาน

       แล้วก็เป็นเหตุเสียด้วยว่าเกือบทั้งร้อยของนักเดินทางที่มุ่งหวังพาหัวใจไปละลาย และซึมซับความเป็น...ปาย ต้องแวะทักทายว่า....เออพี่จ๋าเป็นอย่างไรนี่ มาอย่างไรนี่ ถึงได้มายืนเด่นอยู่ริมถนนอย่างนี้ เป็นการทักทายกระคนค้นหาว่าเค้ามาอย่างไรและมายืนอยู่ที่นี่ทำไม เพราะช่างแปลกแยกกับสิ่งที่แวดล้อม

     สะพานประวัติศาสตร์ ท่าปาย สร้างขึ้นในสมัยสงครามโลกครั้งที่สอง ราวพ.ศ. 2485 ร่วมสมัยกับสะพานเชื่อมทางสายมรณะ ที่แม่น้ำแควอันโด่งดัง ณ เมืองกาญจน์  ขณะที่ญี่ปุ่นใช้ประเทศไทยเป็นฐานบัญชาการรบ  ทหารญี่ปุ่นใช้อำเภอปายเป็นเส้นทางขนส่งจากเชียงใหม่ไปยังพม่า    สะพานแห่งนี้จึงเป็นส่วนหนึ่งในเส้นทางลำเลียงกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์สู่พม่า  และเมื่อสงครามผ่านเลยสะพานก็ยังถูกใช้เป็นทางสัญจรมาอีกระยะหนึ่ง  จนมีสิ่งใหม่มาทดแทนจึงถูกปลดระวางให้ผ่อนพัก
      ซากประวัติศาสตร์นี้ผุพังไปตามกาล    ไม่ได้ทำหน้าที่เป็นทางสัญจรเชื่อมโยงสายน้ำปายมาช้านานแล้ว  แต่ก็ยังยืนผ่านร้อนผ่านหนาวเป็นอนุสรณ์ให้ลำรึกถึงเรื่องแต่หนหลัง  แต่กระนั้นสะพานคอนกรีตที่สร้างคู่ขนานขึ้นใหม่เพื่อใช้งานแทน  กลับไม่สามารถลบรัศมีของสะพานท่าปายได้     ใครต่อใครจึงยังต้องแวะเวียนมาทักทาย พระเอกของเราอยู่ตลอดเวลา   จนวันนี้จากซากที่ถูกรุมเร้าทั้งสนิมในเนื้อเหล็ก และพื้นสะพานไม้ที่กร่อนผุ  ก็ถูกปรับปรุงแต่งตัวใหม่ขัดสีซะเรี่ยมเร้จากหน่วยงานที่รับผิดชอบ (กันยายน 2551) การปรับใหม่ก็มีทั้งที่ถูกใจและไม่ถูกใจ  ดีที่วันนี้เราสามารถเดินข้ามสะพานแวะทักทายสายน้ำปายได้ตลอดอย่างมั่นใจ  แต่ศาลาที่สร้างขึ้นชิดติดหัวสะพาน  กลับบดบังมุมมองและลดทอนความสง่างามของพระเอก มุมถ่ายภาพสวยๆก็ไม่สามารถทำได้ดังเดิม   การได้อย่างเสียอย่างมันก็เกิดคู่กันร่ำไปไม่มียกเว้นแม้กรณีนี้......

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น